"He is Risen"

โดย คุณวีระวัฒน์ สะกิดขวา

เทศกาลอีสเตอร์ไม่ใช่เรื่องของเหตุการณ์ที่พลิกผันไปมาตามปฏิกิริยาของมนุษย์ แต่คือการสำเร็จตามแผนการไถ่บาปอันสมบูรณ์ของพระเจ้าที่ได้ทรงวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ทุกย่างก้าวของพระเยซูในสัปดาห์สุดท้าย คือการทำให้พระสัญญาและคำพยากรณ์สำเร็จลงอย่างแม่นยำ

  • การเสด็จมาอย่างราชาผู้ถ่อมตน: การที่พระเยซูทรงลา (เศคาริยาห์ 9:9) และสวมมงกุฎหนาม ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ แต่เป็นการสำแดงถึงลักษณะของอาณาจักรพระเจ้าที่แตกต่างจากโลกนี้ เป็นอาณาจักรที่ตั้งขึ้นผ่านการถ่อมตนและการสละพระองค์เอง

ย้อนดูเหตุการณ์ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ภายใต้แผนการของพระเจ้า

  • วันอาทิตย์ (Palm Sunday): เสียงร้อง “โฮซันนา” ของฝูงชน (มัทธิว 21:8-9) คือการยอมรับพระเยซูในฐานะกษัตริย์ตามคำพยากรณ์ แม้ว่าความเข้าใจของพวกเขาจะยังผิวเผินและเปลี่ยนไปในภายหลัง แต่นี่คือการประกาศอย่างเปิดเผยถึงสิทธิ์ในการเป็นกษัตริย์ของพระองค์ตามแผนของพระบิดา

  • วันจันทร์-อังคาร (Holy Monday-Tuesday): การชำระพระวิหารและการเผชิญหน้ากับผู้นำศาสนา ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับคน แต่คือการที่พระคริสต์สำแดงสิทธิอำนาจของพระองค์เหนือระบบศาสนาที่เสื่อมทราม และประกาศว่าพระองค์เองคือพระวิหารที่แท้จริง (ยอห์น 2:19-21) การที่ฝูงชนเริ่มสั่นคลอนและแบ่งฝ่าย เป็นการเผยให้เห็นสภาพใจของมนุษย์ที่ต้องเลือกระหว่างอาณาจักรของโลกกับอาณาจักรของพระเจ้า

  • วันพุธ-พฤหัสบดี (Spy Wednesday/Maundy Thursday): การทรยศของยูดาส และการที่พระเยซูทรงสถาปนาพิธีมหาสนิท ล้วนอยู่ในแผนการของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงถูกจับโดยไม่รู้ตัว แต่ทรงมอบพระองค์เองตามเวลาที่กำหนดไว้ พิธีมหาสนิทกลายเป็นตราสัญลักษณ์ของ “พันธสัญญาใหม่” ที่จะประทับด้วยพระโลหิตของพระองค์

  • วันศุกร์ (Good Friday): นี่คือศูนย์กลางของประวัติศาสตร์และแผนการไถ่บาป ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพระเยซูในแง่ของความเจ็บปวด แต่เป็น “วันศุกร์ประเสริฐ” เพราะเป็นวันที่พระราชกิจแห่งการไถ่บาปสำเร็จลง ที่บนไม้กางเขนนั้น พระพิโรธของพระเจ้าต่อความบาปได้ถูกระบายลงบนพระบุตร เพื่อความชอบธรรมของพระองค์จะถูกประทานแก่เรา การสิ้นพระชนม์ของพระองค์สำเร็จวัตถุประสงค์แห่งการไถ่ (Definite Atonement) อย่างสมบูรณ์

  • วันเสาร์ (Holy Saturday): วันแห่งความเงียบนี้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นช่วงเวลาที่พระกายของพระคริสต์วางอยู่ในอุโมงค์ เป็นเครื่องยืนยันถึงการสิ้นพระชนม์จริง และเป็นความเงียบก่อนที่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่จะถูกประกาศ

  • วันอาทิตย์ (Easter Day): การฟื้นคืนพระชนม์คือ การประกาศชัยชนะของพระเจ้า! คือการที่พระบิดาทรงยอมรับเครื่องบูชาของพระบุตร และพิสูจน์ว่าการไถ่บาปนั้นสำเร็จแล้ว อุโมงค์ที่ว่างเปล่าคือหลักฐานว่าความตายและซาตานได้พ่ายแพ้แล้ว พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาในฐานะปฐมผล (1 โครินธ์ 15:20-22) เป็นผู้รับประกันว่าทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์จะฟื้นจากความตายเช่นกัน

ความจริงแห่งอีสเตอร์สำหรับเรา

ความรอดที่มั่นคงถาวรนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราเลือก แต่เพราะ “พระเจ้ารู้ว่าเราทำด้วยตนเองไม่ได้ พระองค์จึงทรงทำเพื่อเรา” นี่คือหัวใจของพระคุณ

“ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ทำให้พระคุณของพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็สิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” ‭‭กาลาเทีย‬ ‭2‬:‭20‬-‭21‬

ข้อพระคัมภีร์นี้สรุปความจริงของอีสเตอร์อย่างสมบูรณ์..

  1. การตายต่อตัวเอง: ชีวิตเก่าของเราได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว

  2. การมีชีวิตใหม่: ไม่ใช่เราที่พยายามทำดี แต่เป็นพระคริสต์เองที่ทรงมีชีวิตและสำแดงพระองค์ผ่านเรา

  3. ความชอบธรรมโดยความเชื่อ: เราถูกนับว่าชอบธรรมได้ ไม่ใช่เพราะการกระทำ แต่โดยการวางใจในการสละพระองค์เองของพระคริสต์แต่เพียงผู้เดียว

เพราะพระคริสต์ทรงมีชีวิตและทรงครอบครองอยู่ เราจึงไม่ได้ทูลขอต่อพระเจ้าที่ตายแล้ว แต่ทูลต่อกษัตริย์ผู้ทรงพระชนม์และทรงฤทธานุภาพ ดังนั้น การตอบสนองของเราต่อข่าวประเสริฐนี้คือการถ่อมใจลง ยอมรับว่าเราไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้ การเชื่อฟังของเราจึงไม่ใช่เงื่อนไขเพื่อรับความรอด แต่เป็นผลแห่งความกตัญญูที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงภายในโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทั้งหมดนี้เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติสิริสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว